วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แรงบรรดาลใจ 2


นายเรวัติ พันธุ์พิพัฒน์ กวีซีไรต์

...เราทำงานเขียนเราต้องปิติแบบดื่มด่ำก็ถือเป็นการประสบความสำเร็จแบบส่วนตัวแล้ว เหมือนคล้ายกับลงมือทำสวน เพราะมีความสุขได้พรวนดิน...

ผมขอกล่าวบทกลอนก่อนจะพูด ดังนี้ "ลมหวาน สายน้ำ ต้นลำพู มาเรียน มารู้ มารังสรรค์ เรียงร้อยถ้อยคำเป็นสำคัญ ดั่งกันและกัน ฉันและเธอ วันหนึ่ง วันนี้ในชีวิต จะติดตรึงใจไปเสมอ คำคนดลใจให้พบเธอ ล้นเอ่อริมฝั่ง ดั่งแม่กลอง"

การไม่เรียนหนังสือมีผลต่อการเขียนหนังสือหรือไม่ ผมคิดว่ามันไม่ใช่เรียนน้อยหรือเรียนมาก แต่ตนเองมีปมด้อยเรียนน้อย จึงใช้การเขียนหนังสือเพื่อจะให้เท่าเทียมกับคนที่ได้เรียน ใช้การเขียนหนังสือเหมือนเด็กวัยรุ่น เขียนหนังสือต่อสู้เพื่อเทียบเท่ากับเพื่อน  อีกทั้ง ผมเชื่อว่าการเขียนนั้น ผมใช้วิธีการอ่านหนังสือ เอานวนิยายเรื่องสั้นที่เราอ่านเป็นครูอาจารย์ ซึ่งคนที่มีโอกาสได้เรียนน่าจะได้เปรียบคนได้เรียนน้อย เพราะมีโอกาสสัมผัสหนังสือได้มากกว่าคนที่เรียนน้อย

ทั้งนี้ช่วงแรกผมหัดเขียน ตอน ม.6 ก็จะหาหนังสืออ่านยาก แต่มีหนังสืออ่านเล่นแค่เล่มเดียวก็ดีใจแล้ว เพราะไม่มีทีวี ไม่มีไฟฟ้า อาศัยแต่หนังกลางแปลง ละคร วิทยุบ้างและหนังสือทุกประเภทที่พบเจอเกิดในหมู่บ้านและในบ้านที่ไม่มีใครอ่านหนังสือ ไม่เห็นว่าหนังสือสำคัญ ดังนั้น คนได้เรียนน่ามีโอกาสไปได้เร็วกว่าคนอื่นๆและผมด้วย

ช่วงเริ่มต้นเขียนหนังสือใหม่ๆ ต้องต่อสู้กวีรุ่นพี่ โดยช่วงแรกเรียนจบม.6 เริ่มด้วยเขียนเรื่องสั้นโดยคัดลายมือลง ส่งไปยังนิตยสารฟ้าเมืองทอง มีนายนิรันศักดิ์ บุญจันทร์ เป็นบรรณาธิการ ได้มีเรื่องสั้นได้ลง เราก็คิดว่าน่าจะเป็นนักเขียนได้ ถึงแม้ไม่ได้มีความรู้ แต่ก็มีเรื่องลง ถึงแม้จะไม่ได้ค่าตอบแทน หรือทวงค่าต้นฉบับอย่างไร  และต้องอาศัยศรัทธาในการรอคอย โดยปั่นจักรยานเข้าอำเภอไปยังแผงหนังสือว่ามีเรื่องเราลงหรือไม่ ถึงแม้จะมีเรื่องลง แต่ก็ไม่มีเงินซื้อ หากให้มองย้อนไปก็ดีมีคุณค่าทำให้เรามีความอดทน ศรัทธาต่อสิ่งที่เรารัก

หากผมเขียนงานแล้วฝืดๆ ผมก็ทิ้งไปเลย และอาจเผางานด้วย แต่เราจะไปรู้สึกกับเรื่องอื่นต่อไป หากฝืนเขียนงานต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์ต่อเรา อย่างเรื่องสั้นก็ใช้เวลาครึ่งวันหรือสองวันก็จบ ทั้งนี้เคยแอบเป็นเหมือนกันว่างานเขียนขายไม่ได้บ้าง เพราะต้องยอมรับ แต่ก็ต้องเคารพซึ่งกันและกันดีกว่าอิจฉาตาร้อนกัน

ส่วนการประสบความสำเร็จในงานเขียนได้นั้น ขณะเราทำงานเขียนเราต้องปิติแบบดื่มด่ำก็ถือเป็นการประสบความสำเร็จแบบส่วนตัวแล้ว เหมือนคล้ายกับลงมือทำสวน เพราะมีความสุขได้พรวนดิน ได้รดน้ำต้นไม้  หากเรามีความสุขกับการลงมือทำระหว่างทางระหว่างบรรทัด เพราะผมสนใจงานเขียนที่เน้นในระหว่างบรรทัด ผมไม่สนใจว่าเรื่องนี้จะลงเอยไง แต่ผมชอบเก็บงานระหว่างบรรทัด ที่มีอะไรมากกว่าถึงสู่จุดจบ ผมชอบเน้นงานระหว่างบรรทัด เรามีความสุขลงมือเขียน มีสมาธิกับงาน ก็ถือประสบความสำเร็จแล้ว

ส่วนการที่นักเขียนหน้าใหม่จะแจ้งเกิดได้ตอนนี้จะยากกว่าที่เคยแจ้งเกิดหรือไม่นั้น ในปัจจุบันก็มีบล็อกให้เขียนหนทางแสดงตัวตนได้ จึงขึ้นอยู่ตัวคุณ และมุ่งมั่นอยากจะเป็นหรือไม่ ถึงจะมีสนามน้อย แต่ก็มีงานเขียนเก็บไว้ก่อนได้  ส่วนประเด็นที่เขียนเรื่องเอาใจตลาดนั้น ผมไม่เขียนเอาใจคนอ่านอยู่แล้ว

แรงบรรดาลใจ1


นายประชาคม ลุนาชัย นักเขียนรางวัลเซเว่นบุ๊คอะวอร์ด

“…ถ้าไม่ก้าวเท้าก้าวแรกอย่าคิดถึงหมื่นลี้ ถ้าไม่ลงมือทำอย่ามุ่งหวังถึงความสำเร็จ โดยต้องลงมือเขียน ต้องถามว่างานเขียนเป็นสิ่งที่เรารักหรือไม่ด้วย…”

     ที่ผมมาเขียนหนังสือ เพราะพื้นฐานผมโดยการศึกษาหรือครอบครัวไม่น่าเกี่ยวกับวงการหนังสือ เพราะเข้ากรุงเทพฯก็ระเหเรร่อน ทำให้โลกหนังสือจะห่างไกลจากผม จนวันหนึ่งผมมาใช้ชีวิตห้องสมุด ตกงานหางานทำไม่ได้ จึงเข้าไปหาอ่านหนังสือในห้องสมุด ของกฤษณา อโศกสิน อ่านไปอ่านมาหลงเข้าใจผิด ผมคิดว่านักเขียนรวย หากผมเขียนหนังสือเล่มได้คงรวยมากไม่ต้องเร่ร่อนหางานทำ จึงตั้งหน้าตั้งตาอ่าน แต่เมื่ออ่านมากความคิดก็เปลี่ยนไป เพราะสามารถทำอะไรก็ได้ที่ไม่จำเป็นต้องรวย แต่ต้องทำแล้วจะมีความสุขหรือไม่  ทั้งนี้ ความฝันสักวันหนึ่งผมจะมีชื่อเสียงประสบความสำเร็จมีฐานะกลับไปช่วยครอบครัวที่บ้านนอกได้ เมื่อทำงานที่ไหนผมไม่เคยประสบความสำเร็จเลย เมื่อผมคิดว่าถ้าไม่ได้เรียนสูง ก็มีทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จก็คือการเขียนหนังสือ

            อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าที่เรามาทำงานไม่ค่อยสะอาดก็จงใจให้เป็นนักเขียนเหมือนรุ่นพี่ อย่าง อาจินต์ ปัญจพรรค์ผมคงไม่แคล้วจะเป็นอย่างนั้นให้ได้ อีกทั้ง สภาพการใช้ชีวิตใน กทม.เมื่อ 20 ปีก่อน คนอีสานเข้ามากทม.ค่อนข้างถูกกดขี่ คนงานภาคอีสานได้เงินเดือน 300 บาท เมื่อชีวิตกดดันก็เป็นงานวรรณกรรมเพื่อชีวิต ซึ่งถูกสะท้อนผ่านวรรณกรรม โดยเป็นชีวิตจริงที่ประสบ โดยนักเขียนจะมีจุดร่วมที่เหมือนกันคือช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน จึงทำให้เป็นพลังกระตุ้นให้เขียนหนังสือ

         ผมเขียนงานช่วงแรกกลัวคนอื่นอ่านไม่ออกจึงเก็บงานไว้แล้วบางครั้งต้นฉบับก็หาย เมื่อส่งงานชิ้นแรกเป็นบทกวีเรื่อง "สายฝน"  ได้ตีพิมพ์  และต่อมาเรื่องสั้นโดยคัดลายมือในปี 2525 ตีพิมพ์ในนิตยสารได้ค่าเรื่อง 600 บาท ตอนนั้นผมไปเป็นลูกเรือประมงแล้วอยู่  อีกทั้ง ความอยากเป็นนักเขียนจะเปลี่ยนจุดหมายมาเรื่อยๆ เหมือนเห็นแม่น้ำแล้วเราอยากเห็นทะเล นักเขียนก็เหมือนกันมีเป้าหมายเรื่อยๆ

        ครั้งแรกผมเขียนหนังสือด้วยลายมือส่งไปนิตยสารโดยไปประกวด ผมได้รางวัลที่ 3 ได้เช็คมา 8,000 บาทโดยไปซื้อเครื่องพิมพ์ดีดมานั่งพิมพ์ ทำให้ผมมีเงินเก็บทั้งชีวิตในดูว่ามีเงิน 9,000 บาทอยู่ได้ 2 – 3 เดือน ทำให้ผมก็บอกตัวเองว่าเมื่ออยากเป็นนักเขียนอาชีพ วันเดียวก็คุ้มค่าแล้ว หรือ 7 วันก็คุ้มค่าแล้ว ผมจึงลาออกงานที่ทำทั้งที่ไม่มีชื่อเสียง มีแต่งานตีพิมพ์เล็กน้อย โดยผมได้ติดป้ายติดข้างฝาผนังไว้ว่า "ถ้าเราเขียนหนังสือดี เราจะมีชีวิตที่ดี ถ้าเราเขียนหนังสือไม่ดี ชีวิตก็จะลำบาก ถ้าเราเขียนหนังสือไม่ได้ เราก็จะไม่มีชีวิต"

       เมื่อตื่นเช้า ผมจะนำเรื่องที่เคยเขียนไว้มาทบทวน เพื่อเป็นแรงส่งให้เขียนงานต่อไป โดยเฉพาะช่วงนั้น ผมได้ส่งงานเรื่องสั้นไปตีพิมพ์ทุกที่ที่มีเวทีให้ ไม่ว่านิตยสารรายเดือน รายสัปดาห์ก็ตาม กระทั่งเงินทุนที่มี 9,000 บาทได้กลายเป็น 30,000 บาท  จากที่ตั้งเป้าไว้ 2 เดือน เป็นจนทุกวันนี้ผมไม่กลับไปทำงานประจำอีกแล้ว ผมจึงออกจากงานประจำเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2537   

       สำหรับกระบวนการทำงานตอนแรกไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน บางเรื่องเขียนไปหาจุดจบไม่ได้ แต่มันก็มีเรื่องอยากให้เขียนเรื่อยๆ นักเขียนต้องเป็นนักคิดตลอดเวลา ผมได้ประเด็นมาก่อนจะนำเสนอ จากประเด็นตัวละครที่จะนำประเด็นสู่จุดหมาย โครงเรื่อง และฉากมารองรับกับประเด็นที่เราจะนำเสนอ ผมจะคิดภาพตลอดเวลาไปเจอสถานการณ์ที่เกิดเป็นข่าวหรือไม่เป็นข่าว โดยเราจะสื่อสารให้คนอื่นมาถกกับเราได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นข่าวอาชญากรรม หรือเราเดินทางไปพบ เราจะเขียนเป็นเรื่องสั้นอย่างไร บางครั้งได้โครงเรื่องก็ยังไม่เขียน แต่จะเก็บเป็นคลังข้อมูลสำรองในสมอง  ถ้าเรื่องไหนถูกลืมก็แสดงว่าไม่มีพลัง เรื่องไหนหลอกหลอนยังคิดอยู่ เราก็จะเขียนกับมันได้ ซึ่งผมจะไม่มีสมุดบันทึกเพราะใช้จำอย่างเดียว เรื่องไหนอยู่ก็คืออยู่ ในเรื่องไม่อยู่ก็ปล่อยไป

       นักเขียนก็มีเคล็ดลับใช้มาแต่รุ่นพี่รุ่นน้อง คือการลงมือเขียน ถ้าไม่ก้าวเท้าก้าวแรกอย่าคิดถึงหมื่นลี้ ถ้าไม่ลงมือทำอย่ามุ่งหวังถึงความสำเร็จ โดยต้องลงมือเขียน ต้องถามว่างานเขียนเป็นสิ่งที่เรารักหรือไม่ด้วย ดังนั้น งานเขียนคือการถ่ายทอดจิตวิญญาณตัวละคร  เพราะนอกจากอ่านหนังสือแล้วเราต้องอ่านคน อ่านสถานการณ์บ้านเมือง ซึ่งนักข่าวมีพร้อมข้อมูลใกล้ชิดข้อมูล มัคคุเทศก์แห่งข่าวสาร จึงมีการแตกประเด็นมากมาย  ทั้งนี้ เรื่องสั้นต่างงานข่าว เพราะงานข่าวเสนอข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ แต่เรื่องสั้นหรือวรรณกรรมจะลึกลงไปกว่าข้อเท็จจริง แต่เป็นการเสนอแก่นความจริงที่มีพลังซึ่งซ่อนอยู่ในเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งนักเขียนจะล้วงลึกไปกว่านั้น และนักเขียนจะเล่าเรื่องมากกว่ามุมมองของนักข่าวมากกว่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยแปรเปลี่ยนข้อมูลมาสู่แก่นความจริงที่ลงลึก

       อย่างไรก็ตาม การเขียนเรื่องสั้นบางเรื่อง ในหลายเรื่องผมเขียนจบแล้วก็มีการแก้ไขอีกครั้งแทนที่จะเปิดเรื่องแบบนั้นผมก็เอาตอนใกล้จบมาเปิดเรื่องก็น่าสนใจ โดยสามารถใช้ได้ในนวนิยายได้เหมือนกัน เพราะอ่านไปแล้วไม่ติดตามไม่สามารถนำพาผู้อ่านไปสู่ตอนที่สองและสามได้ แต่ผมก็มองหาว่าตอนไหนสามารถเปิดเรื่องได้ บางครั้งก็หยิบตอนที่เจ็ดมาเปิดเรื่อง แล้วย้อนกลับไปสู่ตอนแรก ดังนั้น หากเราลงมือทำและเขียนแล้วเราก็จะรู้ว่าควรปรับปรุงอย่างไร ยิ่งทำยิ่งเก่ง  หากทุกคนอยากเขียนหนังสือเก่งมีทางเดียวคือฝึกฝนฝึกทำและฝึกคิด

       ตอนแรกเขียนเรื่องสั้นลงตีพิมพ์โดยเป็นหนังสือเล่มแรกคือรวมเรื่องสั้น "ลูกแก้วสำรอง"  ผมเข้าร้านหนังสือทุกวัน โดยไปนับเล่มบนชั้น  ซึ่งวันหลังได้ไปดูอีกก็ยังเหลือ 5 เล่มเท่าเดิม เมื่อขายไม่ได้สักเล่ม  ก็น้อยใจ และเจ็บปวด เหมือนโลกไม่ขานรับเราเลย แต่ก็มักปลอบใจตัวเองว่าเล่มนี้คนไม่รู้จักเรา แต่เล่มหน้าคนก็ต้องรู้จักเรามากขึ้นก็ต้องขายได้ เมื่อเปรียบเทียบเห็นเพื่อนๆนักเขียนขายดีวางอยู่ข้างหน้า แต่หนังสือของผมวางข้างหลัง และวางที่ไม่สามารถมองในระดับสายตาเห็นได้ โดยซุกอยู่ในจุดที่ค้นเจอได้ยาก  แต่ของเราแค่พิมพ์ 3,000 เล่มก็ยังไม่หมดเลย อย่างไรก็ตาม นักเขียนเป็นมนุษย์มีท้อมีอารมณ์รู้สึก ถ้าไม่มีอารมณ์และความรู้สึก ไม่มีความเป็นศิลปินก็จะไม่สามารถสร้างงานได้ แต่นักเขียนถึงแม้จะอ่อนแอบางครั้ง แต่จะเข้มแข็งที่สุดในวินาทีต้องการ ผมปลอบใจตัวเองว่าได้พิมพ์เป็นเล่มแล้วหนังสือมีคนอ่านพอสมควร แต่ประเทศชาติให้เราเพียงแค่นี้ เราก็ยืดอกได้แค่นี้

      เมื่อครั้งผมไปจ.ขอนแก่น ไปขึ้นเวทีเดียวกับ "ปราบดา หยุ่น"  ซึ่งมีนายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ดำเนินรายการ ซึ่งก่อนขึ้นเวทีปราบดา หยุ่น ถูกนักเรียนรุมขอลายเซ็นต์ แต่ผมนั่งอยู่ข้างนายภิญโญ นายภิญโญบอกกับผมว่าเขาเป็นดาราไปแล้วขอให้ทำใจ แล้วผมจะขึ้นไปบนเวทีใครจะมองเห็น ผมจึงบอกว่าขอขึ้นเวทีไปนั่งเฉยๆ  เมื่อผมมาดูหนังสือตอนหลังที่ขายดี เพราะคนอ่านได้รับความสนใจจึงตอบแทนคนเขียน เป็นสิ่งที่คนอื่นประสบความสำเร็จ

      การประสบความสำเร็จในการเขียนหนังสือคือการทำได้ตามเป้าหมาย เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งคิดได้ดีมากว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้ยิ่งใหญ่มาก แต่เมื่อลงมือเขียนแล้ว พอลงมือเขียนแล้วทำได้ไม่เท่าที่คิดถือว่าล้มเหลวกับการเขียน แต่มีหลายครั้งที่เราคิดธรรมดา แต่เขียนออกมาดีมากกว่าที่เราคิดไว้หลายเท่า  ซึ่งเหมือนได้รางวัลที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม นิยายบางเรื่องอยู่กับเรานานมากเป็นปี เป็นช่วงเวลาคิดมาบ่มเพาะในใจนาน เมื่อเขียนจบเขียนไว้อ่านแล้วแก้ไข ไม่อยากให้งานเขียนมาปรากฎสายตาคนอื่น แต่ถ้าเรื่องไหนเร็วมากเขียนสนุกแค่ 3 เดือนก็จบแล้ว ผมก็ถามว่าทำไมดีกว่าที่คิด เพราะยิ่งแก้ไขยิ่งดี  นั่นคือ นิยามการประสบความสำเร็จในการทำงานของผม

     สำหรับข้อคิดส่งท้ายที่จะให้กำลังใจต่อนักเขียน คือ เราต้องทำงานเขียนด้วยความพึงพอใจเหมือนมีสวนหย่อมข้างบ้าน ซึ่งตอนผมลาออกจากงาน ก็ได้ตั้งกฎเกณฑ์ว่าทำอย่างไรที่จะเขียนโดยตื่นขึ้นมาทำงาน สร้างทีเด็ดให้งานเขียน โดยเรียนรู้จากคนอื่นอ่านสิ่งที่คนอื่นทำ ตื่นขึ้นมาทำงาน โดยให้ทุกเช้าเป็นวันทำงานของเรา เตรียมข้อมูลในใจให้เรียบร้อย เพราะจินตนาการคือความสำเร็จ หากไม่มีเป้าหมายสำเร็จข้างหน้า เราก็ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า  หรือไปไหนมาไหนอาจมีคนมาขอลายเซนต์หรือสัมภาษณ์ จินตนาการความสำเร็จไม่พอ 

     ดังนั้น ต้องสร้างทีเด็ดให้งานเขียน และเรื่องที่อยู่ในความทรงจำคือเรื่องที่มีทีเด็ดด้านใช้ภาษา การนำเสนอ ประเด็นแหลมคม เรื่องน่าสนใจ อยู่ในใจคนอ่าน ขยันให้เป็นเรื่องปกติ เพราะการฝึกตัวเองเป็นการทำให้ทุกอย่างปกติ  ซึ่งผมตื่นมาเขียนหนังสือเป็นปกติไม่ได้ขยัน แต่เป็นเรื่องปกติของชีวิต

      อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มหนึ่งมีคนบอกว่า มันอาจอายุยืนยาวกว่าคนเขียน ถ้ามันเป็นหนังสือที่ดี แต่หนังสือหลายเล่มก็อายุสั้นกว่าคนเขียนถ้าไม่ใช่หนังสือที่ดี  ทั้งนี้ หากเราเปิดหนังสืออ่านก็ทำให้เราสนใจในโลกหนังสือได้

      การเขียนหนังสือเขาบอกว่านักการเมืองทุจริตหรือโกงตัวเอง ได้ แต่นักเขียนโกงต่อตัวเองไม่ได้ในการสร้างงาน ไม่ว่างานแบบไหนที่ทำแล้วเรามีความสุข ส่วนงานอะไรขายได้ตามกระแสก็แค่อยู่ได้ตามระยะเวลาแม้อาจได้อะไรไปแต่ไม่กี่ปีก็อาจหายไปจากวงการหนังสือได้ และทุกวันนี้นักเขียนเหล่านั้นก็หายไปหมดแล้ว รวมทั้งคนอ่านก็อาจลืมด้วยซ้ำว่าคนเหล่านี้ยังเป็นนักเขียนอยู่

       นอกจากนี้ หลักของการตลาดคือการขาย แต่ศิลปินมี 2ประเภท เพราะเคยมีนักดนตรี2 คนในวงเดอะบีทเทิลที่บอกว่าแตกต่างกันทางด้านการตลาด โดย "พอล แมทคาร์นี่" บอกว่าจะสร้างเพลงอย่างตลาดต้องการ  แต่ "จอห์น เลนนอน" บอกว่าไม่ใช่ตลาดยั่งยืน  เพราะไปอาศัยตลาดของคนอื่น ถ้าเราแน่จริงต้องสร้างตลาดให้เป็นงานของเราโดยตรง งานเขียนก็เหมือนกันเพราะผมมีผลงาน 20 กว่าเล่ม มีเพียง 5-6 ปกเท่านั้นที่ยอมพิมพ์เกินหนึ่งหมื่นเล่ม เพราะตลาดของเราแค่นี้จึงต้องเติบโตด้วยตลาดของเราไม่ต้องอาศัยตลาดของคนอื่น ถ้าอาศัยของคนอื่นก็คงเป็นได้แค่เรื่องลับ ลวง พราง หรือหมอดู เป็นต้น ดังนั้นต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง สร้างตลาดงานเขียนของตนเองให้ได้

กลับจากเขาชนไก่ ปี 5

           บางคนอาจคิดว่าการเรียน รด.ไร้สาระสู้เอาเวลาไปทำงานดูหนังฟังเพลงหรือทำอะไรก็แล้วแต่เกิดที่จะประโยชน์ ผมก็ไม่ปฏิเสธความคิดของเขาเหล่านั้น ต่างคนย่อมต่างความคิดมีจุดมุ่งหมายไม่เหมือนกัน
          สำหรับผมพวกคุณอาจจะว่าผมโลภ บอกตรงๆเลยล่ะว่าผมเป็นพวกที่ต้องการทุกอย่างมาเป็นของผมเอง  ทำอย่างไรก็ได้ให้ไปถึงเป้าหมายเพื่อ ยศ "ว่าที่ร้อยตรี" เองก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมต้องการแสวงหา เพราะในเมื่อผมได้เดินทางมายังสายแห่งความโลภนี้แล้วก็คงต้องเดินต่อไป จะบอกให้ว่าเส้นทางแห่งความโลภที่ผมเดินอยู่ก็คือทำงานอื่นๆไปด้วย(เรียนมหาวิทยาลัยไปด้วย) และแสวงหายศโดยการเรียน รด.เพื่อเป็นทางลัดไปหาผลประโยชน์ที่มิชอบจากหนทางที่แสนจะสะดวกสะบายนี้ (คุณคิดเหมือนผมหรือป่าวนะ?) คนเรามันมีความซับซ้อนในความคิดอย่างนี้นี้เองคุณว่าอย่างนั้นหรือป่าว  ที่เหลือคือเรียน
มหาวิทยาลัยให้จบเพื่อเอายศ "ว่าที่ร้อยตรี" นี้ไปใช้เพื่ออะไรคุณๆก็คงคิดได้เหมือนผม
     กลับจากเขาชนไก่ครั้งนี้ผมได้อะไรมากมายเกินกว่าที่พวกคุณคิดซะอีก ต้องขอบคุณที่คุณตั้งหน้าตั้งตาอ่านบทความของผมถึงตอนนี้ ผมมีคำแค่คำเดี่ยวเพี่ยงอยากจะบอกกับคุณเท่านั้น "อยู่ต่อเลยได้ไหม" ความหมายก็เหมือนบทเพลงนั้นไม่มีงานเลี้ยงไหนที่ไม่เลิกลา บ๊ายบายหนุ่มๆสาวๆครับ

วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

คุณรู้หมดหรือป่าว

สาระความรู้น่ารู้ เอ้......หรือป่าวน่ะ
1.ยุงบินด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมง...
2.ผีเสื้อบินด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมง...
3.เส้นผมคน รับน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม...
4.เสียงกรนที่ดังที่สุดดังถึง 87.5 เดซิเบลล์
5.พอล แมคคาร์ที เป็นเจ้าของลิขสิทธิเพลงแฮปเบิร์ดเดย์ ถ้าจะนำมาออกรายการ ต้องซื้อลิขสิทธิก่อน...
6.เหรียญทองโอลิมปิกต้องมีแร่เงินผสมอยู่ 92.5 เปอร์เซนต์...
7.หอเอนเมืองปิซาเอนไปทางใต้...
8.กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 อาบน้ำทั้งหมด 3 ครั้งในชีวิต...
9.ฮิตเลอร์แสกผมข้างซ้าย...
10.ผู้หญิงที่เกาะฮาวายที่ทัดดอกไม้ที่หูข้างซ้าย แสดงว่ามีเจ้าของแล้ว...
11.เราไม่สามารถฆ่าตัวตายด้วยการกลั้นหายใจได้...
12.ผู้หญิง 3.9 เปอร์เซนต์ไม่ชอบใส่กางเกงใน...
13.ฮิปโปผายลมทางปาก...
14.ประเทศซาอุดิอราเบียไม่มีแม่น้ำ...
15.กังหันทั้งโลกหมุนทวนเข็มนาฬิกา ยกเว้นที่ไอร์แลนด์...
16.เด็กนักเรียนอายุ15 ปีขึ้นไปในบังคลาเทศจะถูกจับเข้าคุกถ้า"โกงข้อสอบ"...
17.ปลาที่อาศัยในน้ำลึกเกิน 800 เมตร จะไม่มีตา...
18.ผมคนเราจะร่วงประมาณ 200 เส้นต่อวัน...
19.ตัว"โอ"เป็นสระที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ...
20.คนพูดประมาณ 120 คำต่อนาที
21.ฝ่ามือและฝ่าเท้าของคนเราไม่สามารถไหม้ได้...
22.เม่นชอบช่วยตัวเอง...
23.ถ้าปลาไหลไฟฟ้าอยู่ในน้ำเค็ม จะถูกช็อตตาย...
24.ขั้นบันไดในไทยจะเป็นเลขคี่...
25.เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ชอบสะสมฝาโถส้วม...
26.คนมีโอกาสตายจากผึ้งต่อยมากกว่างูกัด...
27.ประเทศวาติกันมีประชากรประมาณ 1000 คน
28.เมื่อคุณจาม หัวใจคุณจะหยุดเต้นเสี้ยววินาที
29.มันเป็นไปมะได้อ่ะคับ ถ้าคุณจะจามโดยไม่หลับตา
30.เดิมโคคาโคล่าเป็นสีเขียว
31.ชื่อที่โหลที่สุดในโลกคือ Mohammed
32.กล้ามเนื้อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกายคือลิ้น
33.แต่ละโพหลังไพ่ แสดงถึงกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่จากประวัติศาสตร์ โพดำ กษัตริย์เดวิด ดอกจิก อเล็กซานเดอร์มหาราช โพหัวใจ ชาร์ล เลอ มาญ ข้าวหลามตัด จูเลียส ซีซาร์
34. อนุสาวรีย์ของใครสักคนที่อยู่บนหลังม้า และม้ายกสองขาขึ้นบนอากาศ แปลว่าคนนั้นตายในสงคราม
35.ถ้าม้ายกขาข้าเดียวแปลว่า เขาบาดเจ็บในสงคราม และตายจากการบาดเจ็บนั้น
36.ถ้าทั้งสี่ขาของม้าอยู่บนพื้น แสดงว่าตายโดยธรรมชาติ
37.ใน 4000 ปีที่ผ่านมา ไม่มีสัตว์ชนิดใหม่ๆ ที่ถูกทำให้เชื่อง
38.เชคสเปียร์ เป็นคนคิดค้นคำว่า assassination (การลอบฆ่า) และ bump (ชนกระทบ)
39.หัวใจมนุษย์สร้างความดันเพียงพอที่จะปั๊มเลือดออกจากร่างกายไป 30 ฟุต
40. หนูสามารถสืบพันธุ์ได้เร็วมาก ใน 18 เดือน หนูสองตัวจะสามารถมีทายาทมากกว่าล้านตัว
41.การใส่หูฟังแค่ชั่วโมงเดียว ทำให้แบคทีเรียในหูเพิ่มขึ้น 700 เท่าตัว
42.ลิปสติกส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของเกล็ดปลา
43.เหมือนกับลายนิ้วมือ....ลายลิ้นทุกคนต่างกัน
44.นิตยสาร time ได้ยกย่องให้คอมพิวเตอร์เป็นบุคคลแห่งปีในปีค.ศ.1982
45.สถิติจูบนานที่สุดในโลกเป็นของหลุยซา แอลเมโดวาร์ วัย 19 ปีกับแฟนหนุ่ม ริช แลงเลย์ วัย 22 ปีพวกเขาทำสถิติไว้ที่ 30.59.27 ชม.
46.ตอนที่ f4 ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อินโดนีเซียทำให้เด็กนักเรียนเกือบ100 คน ต้องเรียนซ้ำชั้น เพราะไม่ได้ไปลงทะเบียนเรียนเทอม 2
47.บริษัทผู้ผลิตยาสีฟันดาร์ลี่เป็นเจ้าของเดียวกันกับที่ผลิตยาสีฟันคอลเกต
48.โดนัลด์ ดักส์ ถูกแบนในประเทศฟินแลนด์ เพราะมันไม่ได้สวมกางเกงใน
49.ภาพยนต์ เรื่อง nothing hill จ่ายค่าตัวจูเลีย โรเบิร์ต 15 ล้านเหรียญ ( 660 ล้านบาท ) ในขณะที่พระเอกอย่างฮิว แกรนจ์รับค่าตัวเพียง 1 ล้านเหรียญ ( 45 ล้าน บาท)
50.หนัง อนิเมชันเรื่อง SouthPark ได้รับการบันทึกลงในหนังสือกินเนสส์บุ๊คว่า เป็นหนังอนิเมชั่น เรื่องยาวที่หยาบคายที่สุดในโลกสถิติบันทึกไว้ว่า มีการใช้คำหยาบ 399 คำ พฤติกรรมรุนแรง 221 ครั้ง และแสดงท่าทางหยาบคาย 128 ครั้ง
51.ขนมทอดกรอบตรา ปูไทย ระบุว่าไม่มีส่วนผสมของเนื้อปู จิงดิ
52.ในน้ำทะเล 100 ตัน จะมีทองคำอยู่ประมาณ 4 กรัม
53.จำนวนแถวของข้าวโพดในแต่ละฝักจะเป็นเลขคู่
54.จิงโจ้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่เดินถอยหลังไม่ได้
57.ยุงชอบเลือดเด็กมากกว่าเลือดผู้ใหญ่
58.แมงมุมทอดรสชาติเหมือนถั่ว อร่อยดี
59.ฟันของแมลงสาบอยู่ในท้องของมัน
60.เม่นทุกตัวลอยน้ำได้
61.หมู มีโอกาสเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง
62.นอกจากมนุษย์แล้ว หมีขั้วโลกและจิงโจ้ต่างก็จูบเป็น ส่วนลิงชิมแปนซีนั้นจูบแบบ "เฟรนช์คิส" ได้ด้วย
63.คนถนัดขวามีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าคนถนัดซ้ายถึง 9 ปี
64.Hippopotomonstrsesquippedaliophobia คือ ชื่ออาการของคนที่หวาดกลัวคำอ่านยาวๆ
65.ผู้ที่เกิดเดือนมกราคม - มีนาคม มีแนวโน้มเป็นโรคจิตและโรคคลั่งมากกว่าเดือนอื่นๆ
66.แก้วไม่ได้เป็นของเเข็ง เเต่เป็นของเหลว
67.สมองคนเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักของร่างกาย แต่ใช้เลือดไปเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมด
68.เลือดของกุ้งมังกรเปนสีน้ำเงิน
69.อูฐสามารถหมุนหัว 180 องศา
70.รู้ หรือเปล่าว่าเว็บ google ไม่ได้มีประโยชน์แค่หาข้อมูล แต่เป็นเครื่องคิดเลขได้ (ลองใส่ 5+2 หรือเลขอะไรก้อได้ในช่อง แล้วกด Search ดูจิ

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

ป่าในคนตอนที่3

กำลังพิมพ์ครับ

โอเรกอน วอร์เท็กซ์

โอเรกอน วอร์เท็กซ์ ปริศนาสถานที่สุดพิศดารที่หาคำตอบไม่ได้

 โอเรกอน วอร์เท็กซ์ เป็นสถาที่ที่ว่ากันว่า มีพลังงานแม่เหล็กของโลกผิดปกติ ทำให้เกิดภาพลวงตาที่หักเหของแสง ทุกอย่างจะกับตลปัดไปหมด รวมถึงแรงโน้มถ่วงที่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง โดยคุณจะรู้สึกกดดันรู้สึกถึงความผลักกัน และหมุนรอบๆจนคุณทนไม่ไหว เช่นเอาลูกบอลกลิ้งไปยังรางไม้ที่ลาดชัน แทนที่เจ้าลูกบอลจะกลิ้งลงไปกลับกลายเป็นกลิ้งย้อนกลับขึ้นมาสวนกับความชันหรือจะเป็น ไม้กวาดที่ตั้งเองได้เป็นที่น่าแปลกใจต่อผู้พบเห็น
         
         โดยเฉพาะ คนส่วนสูงก็จะดูผิดเพี้ยน ซ้ำภาพที่เห็นยังหักเหดูเอียงกว่าความเป็นจริง เป็นความลึกลับและมยต์เสน่ห์ ของสถานที่แห่งนี้ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาพิสูจน์จำนวนมาก .....
เครดิต http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2404477

วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

ข่าวแว่วเปิดตัวเกมออนไลน์ฝีมือกิมย้ง"เดชคำภีร์เทวดา"

เป็นเกมที่หลายคนรอคอยเลยก็ว่าได้ค่ะ สำหรับเกม Swordsman Online หรือในชื่อภาษาไทย "เดชคัมภีร์เทวดาออนไลน์" ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดยทีมงาน Perfect World Entertainment ถึงแม้ว่าจะเปิดทดสอบในช่วง Closed Beta ในประเทศจีนเป็นระยะๆ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวใหม่ที่จะอัพเดตเพิ่มเติมว่าจะเปิดให้บริการในช่วง Open Betaในช่วงใด แต่อย่างน้อยก็มีข้อมูลตัวเกมออกมาออกมาให้เราได้ทราบกัน โดยในปี 2013 ก็จะมีซีรี่ย์ละครจีนเรื่อง"เดชคัมภีร์เทวดา" เวอร์ชั่น 2013 ฉายด้วยนะ ซึ่งทางผู้จัดละครก็ได้มีการเกาะกระแสเกมด้วยการเตรียมตัวฉายในช่วงเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้

โดยเห็นว่าเนื้อเรื่องของเวอร์ชั่นเกมและเวอร์ชั่นละครจีนได้อ้างอิงเนื้อเรื่องจากต้นฉบับของ Louis Cha ( กิม หยง )มาเต็มรูปแบบเลย ซึ่งละครเรื่อง "เดชคัมภีร์เทวดา" เวอร์ชั่น 2013 ได้ปล่อยตัวอย่างออกมาให้ชมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะ และคาดว่าเวอร์ชั่นนี้จะนำเข้ามาฉายในเมืองไทยอย่างแน่นอน ส่วนจะได้ชมกันตอนไหนต้องติดตามกันต่อไปค่ะ ส่วนมาพูดถึงในเรื่องด้านเกม Swordsman Online ถ้ามีการอัพเดตเพิ่มเติมเมื่อไหร่ทีมงานจะรีบแจ้งให้ทราบทันทีค่ะ

เตรียมตัวกันได้เลย

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

วิธีการชุบชีวิตตามตำนานต่างๆ


ศาสตร์วิชา“มนตร์สัญชีวนี(วิชาที่ทำให้ไม่ตาย)”
ศาสตร์วิชา“มนตร์สัญชีวนี(วิชาที่ทำให้ไม่ตาย)”
จากการศึกษาผลงานของ อาจารย์ อัตถนิช โภคทรัพย์(นายขยะ) และการติดต่อโดยส่วนตัว(๒ครั้ง)
 ทำให้ทราบว่ายังมีศาสตร์วิชาโบราณที่ก้าวหน้าเกินจะคาดเดา นั่นคือ มนตร์สัญชีวนี(วิชาที่ทำให้ไม่ตาย)

ความหมายของ มนตร์สัญชีวนี นี้ค่อนข้างกว้าง วิชาที่ทำให้ไม่ตายตามหลักสูตรโบราณแบ่งได้๓สาขาวิชา ดังนี้
๑.มนตร์/วิชาชุบชีวิต(โคลนนิ่ง) วัตถุดิบสำคัญ คือ เศษเถ้ากระดูก อัฐิของผู้ตาย(ในกรณีที้เผาไปแล้ว)หรือซากศพ(ที่ตายใหม่ๆยังไม่เน่า)
เนื้อ และเลือด หรือ ชิ้นส่วนคนเป็น(หรือเศษเซลล์ที่ยังมีชีวิต) สถานที่ประกอบพิธี กองไฟขนาดใหญ่
 วิชานี้คือการใช้อำนาจจิตเหนือสนามพลังงานที่เป็นกสิณนำจิตดวงเดิมของผู้ตายมาสถิตในร่างที่ทำการสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่
 (ผู้ทำพิธีมักเป็นฤาษีที่มีความรู้เรื่องวิชาจิตสรีระศาสตร์เป็นอย่างดี) ตัวอย่างผู้ผ่านพิธีกรรมนี้ ได้แก่
๑.นางมณโฑ มเหสีทศกัณฐ์ เดิมทีนางเป็นกบแล้วตายเพราะช่วยฤาษีทั้ง๔จากพิษนาค ฤาษีทั้ง๔จึงทำพิธี”ชุบ”
ชีวิตและเสกนางเป็นสาวงามและตั้งชื่อว่า นางมนโฑ ซึ่งหมายถึง นางกบ
๒. พระลบฝาแฝดของพระมงกุฎ เกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิคของท่านฤๅษีวัชมฤควัน
 เมื่อครั้งที่พระรามสั่งพระลักษณ์ให้นำนางสีดาไปประหารเนื่องจากแอบวาดภาพของทศกัณฐ์ให้นางรับใช้ดู
พระลักษณ์สงสารเลยปล่อยตัวไป นางกับพระมงกุฎจึงไปอาศัยอยู่กับฤๅษีวัชมฤค
วันหนึ่งนางสีดาไปทรงน้ำที่ลำธารปล่อยพระมงกุฎอยู่กับพระฤๅษี ขณะนั่นฤๅษีทำสมาธิอยู่
 นางกำลังทรงน้ำเห็นชะนีอุ้มลูกน้อยจึงคิดถึงลูกกลับไปนำพระมงกุฎมาทรงน้ำ
ฤๅษีออกจากสมาธิไม่เห็นพระมงกุฎกลัวนางจะเสียใจ(คิดว่าตัวเองทำลูกนางสีดาหาย)จึงทำพิธี”เนรมิต”กุมารขึ้น
 นางกลับมาพอดี พระฤๅษีจะเลิกทำพิธีแต่นางขอร้องให้ทำต่อเพื่อจะได้เป็นเพื่อนเล่นกับพระมงกุฎเมื่อทำพิธีเสร็จ
เกิดกุมารขึ้นเหมือนพระมงกุฎทุกประการจึงให้ชื่อว่า พระลบ(สาขาวิชานี้สูงกว่าของนางมณโฑนิดนึง คือเป็นการ
โคลนนิ่งโดยการแยกส่วน(ก๊อปปี้)จิตของคนเป็น มาสถิตในร่างที่ทำการสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ จนเกิดเป็น พระลบ ขึ้นมา
๓.หลวิชัย-คาวี เดิมทีเป็นลูกเสือและลูกวัวแต่สาบานเป็นพี่น้องร่วมกัน  เป็นลูกกำพร้าทั้งคู่ จึงออกเดินทางท่องเที่ยวไปในป่า
 วันหนึ่งไปถึงอาศรมฤาษี ฤาษีแปลกใจมากที่สัตว์ทั้งสองเป็นเพื่อนรักกัน(สงสัยกลัวถูกจับออกงานวัด)ฤาษีกลัวว่าจะเดินทางลำบาก
จึงชุบชีวิตลูกเสือลูกวัวให้เป็นคน และตั้งชื่อลูกเสือว่าหลวิชัย ลูกวัวชื่อคาวี หลวิชัยกับคาวีก็เรียนศิลปวิทยา(ศิลปะศาสตร์๑๘ประการ?)
กับฤาษีจนเติบโต เมื่อมีอายุพอสมควรแล้ว หลวิชัยกับคาวีก็ขอลาพระฤาษีไปเผชิญโชค ฤาษีให้พระขรรค์วิเศษที่บรรจุ”หัวใจ”
(“วิชาถอดดวงใจ”เป็นมนต์สัญชีวนีระดับสูง)ของหลวิชัยกับคาวีไว้ ภายหลังคาวีได้อภิเสกกับพระนางจันทร์สุดา(นางผมหอม)
และได้เป็นกษัตริย์ ต่อมายายเฒ่าทัดประสาดซึ่งเคยเป็นพี่เลี้ยงของนางจันทร์สุดา รู้เรื่องพระขรรค์วิเศษที่บรรจุหัวใจของคาวี
จึงเกิดความคิด และชวนให้คาวีกับพระนางจันทร์สุดาไปสรงน้ำที่ชายทะเล คาวีและพระนางจันทร์สุดาถอดเครื่องทรงรวมทั้งพระขรรค์ให้
ยายเฒ่าเก็บรักษา ยายเฒ่าได้ทีนำพระขรรค์ไปเผาไฟ คาวีกำลังว่ายน้ำเล่นก็รู้สึกร้อนจึงรีบชวนนางจันทร์สุดาว่ายกลับเข้าฝั่ง
พอถึงชายหาดคาวีเห็นยายเฒ่ากำลังเผาพระขรรค์อยู่ ก็นึกโกรธที่พระนางจันทร์สุดาไม่รักษาความลับ แต่ยังไม่ทันพูดคาวีก็ล้มลงสิ้นสติ
พระนางจันทร์สุดาตกพระทัยมากได้แต่ร่ำไห้กอดร่างคาวี ยายเฒ่าจึงรีบให้ทหารของท้าวสัณนุราชนำพระนางจันทร์สุดาไปถวายท้าวสัณนุราช
ภายหลังฤาษีมาช่วยไว้ได้โดยการนำพระขรรค์วิเศษที่บรรจุหัวใจของคาวี มาชุบชีวิต(โคลนนิ่ง)ให้ใหม่ในร่างเดิม
๒.วิชาถอดดวงใจ(การปฏิเสธเหตุการณ์) สาขาวิชาผู้ทำพิธีต้องมีความเชี่ยวชาญเรื่องจิตในระดับสูงมาก เช่น พระฤาษีโคบุตร
 ผู้ถอดดวงใจให้ทศกัณฐ์ นับเป็นพระฤาษีที่มีฤทธิ์มาก เป็นครูฝ่ายยักษ์ ได้สั่งสอนวิชาเวทวิทยาอาคมขลังจนทำให้ทศกัณฐ์ กำเริบเสิบสาน
ระรานทั่วทั้งสามโลก แต่ภายหลังสู้พระรามไม่ได้ ทศกัณฐ์ขอร้องให้อาจารย์ช่วยถอดดวงใจ เพื่อตนจะได้เป็นอมตะไม่มีวันตาย
เมื่อพระฤาษีโคบุตรเห็นใจช่วยถอดดวงใจออกมาไว้นอกร่างกายทศกัณฐ์ก็ยิ่งมีฤทธิ์ไม่กลัวตายเพราะใครก็ทำอะไรตนเองไม่ได้
วิชาถอดกล่องดวงใจนี้ถือว่าเป็นยอดวิชาที่สร้างความคงกระพันไม่มีวันตายได้ ในมหาสงครามครั้งสุดท้าย พิเภกบอกกลอุบายให้พระรามและหนุมาน
ได้ทราบ หนุมานจึงไปหลอกทศกัณฐ์ว่าตนทะเลาะกับพระรามไม่ขออยู่ด้วยแล้วต่อไปนี้จะช่วยทศกัณฐ์รบ ทศกัณฐ์หลงกลรักหนุมานดั่งลูก
ที่สุดหนุมานสืบได้ว่ากล่องดวงใจอยู่ที่พระฤาษีโคบุตร หนุมานกับองคตจึงเข้าไปหลอกล่อ ลวงขอกล่องดวงใจของทศกัณฐ์
ที่สุดพระฤาษีโคบุตรเสียรู้ ทศกัณฐ์จึงต้องตายในสนามรบ โดยพระรามแผลงศร(ธนุรเวท-เครื่องยิงขีปนาวุธข้ามกำแพงเวลา)
ในขณะที่หนุมานขยี้กล่องดวงใจ ดังนั้นเรื่องตบะฌานอันแก่กล้าของพระฤาษีโคบุตรจึงถือว่าสุดยอดหาผู้ใดมาเปรียบด้วยยาก
เพราะมีเพียงพระฤาษีไม่กี่ตนเท่านั้นที่จะสามารถทำวิชาอันน่าอัศจรรย์นี้ได้ ดังนั้นพระฤาษีโคบุตรจึงถูกยกย่องว่า
เป็นพระฤาษีที่มีฤทธิ์วิทยาแก่กล้ามากตนหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์
การถอดดวงใจของทศกัณฐ์นี้ไม่ใช่การควักหัวใจออกมาจริงๆ(เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ควักหัวใจออกมาแล้วจะไม่ตาย)แต่หมายถึง
ความสามารถในการควบคุมจิตที่เป็น”สนามแรงที่รองรับเหตุการณ์(สนามแรง คือ จิต/เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนจิต คือ กายเนื้อ)”ให้เป็นอิสระจากกัน
 ดังนั้นเมื่อกายเนื้อของทศกัณฐ์ถูกโจมตี หรือทำลายมันจะไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อดวงใจ(จิต)ของทศกัณฐ์ เพราะสนามแรงไม่ถูกทำลาย มันจึงปฏิเสธเหตุการณ์อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นบนกายเนื้อ ทำให้เป็นอมตะไม่มีวันตาย(ถ้าจะให้ตายในทันทีต้องทำลายทั้งจิตและกายเนื้อพร้อมกัน)
แบบซาลามานเดอร์หรือจิ้งจกที่แม้ขาหรือหางจะขาดก็ยังงอกใหม่ได้(เพราะเกิดการกระทบกระเทือนเฉพาะกายเนื้อไม่ถึงระดับโครงสร้างจิต)
แต่ที่โบราณเรียกชื่อวิชานี้ว่า การถอดดวงใจ เพราะโบราณถือว่าร่างกายจะยุติการทำงาน(ตาย)ก็ต่อเมื่อหัวใจหยุดทำงานไม่ใช่สมอง
เช่นการทำมัมมี่ของอียิปต์ จะเน้นการเก็บรักษาหัวใจเป็นหลักเพราะถือว่าเป็นศูนย์ของการมีชีวิต หรือในปี๒๔๘๘มีเรื่องของ“ไมค์ ไก่ผู้ไร้หัว”
ที่สามารถอยู่ได้โดยไร้หัวถึง ๑๘ เดือน!?!(คล้ายแมลงสาบที่ตัดหัวแล้วอยู่ได้๙วันแล้วจึงตายเพราะขาดอาหาร)

หมายเหตุ เป็นไปได้รึไม่ว่า เจ.เค.โรว์ลิง ผู้แต่ง harry potter จะเคยอ่าน     ”รามเกียรติ์” เพราะการสร้าง “ฮอร์ครักซ์(Horcrux)
7 ทั้งชิ้น”ของ”โวลเดอมอร์” คล้ายการถอดดวงใจของทศกัณฐ์(หากคิดว่าโวลเดอมอร์มีงูนากินีเป็นฮอร์ครักซ์ที่มีชีวิต
แล้วรามเกียรติ์มีมั๊ย?ก็จงไปดูไมยราพณ์ที่ถอดดวงใจไว้ในแมลงภู่ แล้วนำไปซ่อนไว้ที่ยอดเขาตรีกูฏ)

๓.วิชาย้ายร่าง(สถิตในร่างคนตาย) อีกสาขาวิชาผู้ทำพิธีต้องมีความเชี่ยวชาญเรื่องจิตในระดับสูงมากๆ เป็นวิชาสำหรับย้ายวิญญาณ(จิต)
จากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง มีปรากฏในนิทานเวตาล เรื่องที่ ๒๓ เรื่องของฤๅษีเฒ่า วามศิวะ ผู้อยากเป็นหนุ่ม โดยฤาษีเฒ่าผู้มีมนตร์วิเศษ
ก็เกิดความคิดว่าตนจะเข้าสิงร่างเด็กหนุ่มเพื่อละร่างชราน่าเกลียดของตนกลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้งหนึ่ง ฤาษีเฒ่าผู้ต้องการจะเป็นหนุ่มอีก
 ก็ละร่างของตนและร่ายมนตร์วิเศษเข้าสิงร่างเด็กหนุ่มในบัดดล ทันใดนั้นร่างของเด็กหนุ่มซึ่งนอนอยู่บนกองฟืนในจิตกาธาน
ก็ขยับร่างและลุกขึ้นนั่งพร้อมกับอ้าปากหาวนอน เมื่อบรรดาญาติและคนทั้งหลายที่รายล้อมอยู่ ณ ที่นั้นแลเห็นก็พากันส่งเสียงตะโกนกึกก้องว่า
“ไชโย เขาฟื้นแล้ว เขาฟื้นแล้ว”แต่นักบวชเจ้าเล่ห์ ผู้เป็นหมอผีอาคมฉมัง ได้เข้าสิงพราหมณ์หนุ่มเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องการที่จะละศีลของตน
(เพราะตนเป็นนักพรตอยู่) จึงเดินทางออกจากที่นั้นท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง
ร่วมแสดงความคิดเห็นกับทุกๆบทความได้นะครับ
เครดิต http://dakini-naga.blogspot.com/2012/02/blog-post.html