นายประชาคม
ลุนาชัย นักเขียนรางวัลเซเว่นบุ๊คอะวอร์ด
“…ถ้าไม่ก้าวเท้าก้าวแรกอย่าคิดถึงหมื่นลี้
ถ้าไม่ลงมือทำอย่ามุ่งหวังถึงความสำเร็จ โดยต้องลงมือเขียน ต้องถามว่างานเขียนเป็นสิ่งที่เรารักหรือไม่ด้วย…”
ที่ผมมาเขียนหนังสือ
เพราะพื้นฐานผมโดยการศึกษาหรือครอบครัวไม่น่าเกี่ยวกับวงการหนังสือ เพราะเข้ากรุงเทพฯก็ระเหเรร่อน
ทำให้โลกหนังสือจะห่างไกลจากผม จนวันหนึ่งผมมาใช้ชีวิตห้องสมุด ตกงานหางานทำไม่ได้
จึงเข้าไปหาอ่านหนังสือในห้องสมุด ของกฤษณา อโศกสิน อ่านไปอ่านมาหลงเข้าใจผิด ผมคิดว่านักเขียนรวย
หากผมเขียนหนังสือเล่มได้คงรวยมากไม่ต้องเร่ร่อนหางานทำ จึงตั้งหน้าตั้งตาอ่าน แต่เมื่ออ่านมากความคิดก็เปลี่ยนไป
เพราะสามารถทำอะไรก็ได้ที่ไม่จำเป็นต้องรวย แต่ต้องทำแล้วจะมีความสุขหรือไม่ ทั้งนี้ ความฝันสักวันหนึ่งผมจะมีชื่อเสียงประสบความสำเร็จมีฐานะกลับไปช่วยครอบครัวที่บ้านนอกได้
เมื่อทำงานที่ไหนผมไม่เคยประสบความสำเร็จเลย เมื่อผมคิดว่าถ้าไม่ได้เรียนสูง ก็มีทางเดียวที่จะประสบความสำเร็จก็คือการเขียนหนังสือ
อย่างไรก็ตาม
ผมคิดว่าที่เรามาทำงานไม่ค่อยสะอาดก็จงใจให้เป็นนักเขียนเหมือนรุ่นพี่ อย่าง “อาจินต์
ปัญจพรรค์” ผมคงไม่แคล้วจะเป็นอย่างนั้นให้ได้ อีกทั้ง สภาพการใช้ชีวิตใน
กทม.เมื่อ 20 ปีก่อน
คนอีสานเข้ามากทม.ค่อนข้างถูกกดขี่ คนงานภาคอีสานได้เงินเดือน 300 บาท เมื่อชีวิตกดดันก็เป็นงานวรรณกรรมเพื่อชีวิต
ซึ่งถูกสะท้อนผ่านวรรณกรรม โดยเป็นชีวิตจริงที่ประสบ
โดยนักเขียนจะมีจุดร่วมที่เหมือนกันคือช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน
จึงทำให้เป็นพลังกระตุ้นให้เขียนหนังสือ
ผมเขียนงานช่วงแรกกลัวคนอื่นอ่านไม่ออกจึงเก็บงานไว้แล้วบางครั้งต้นฉบับก็หาย
เมื่อส่งงานชิ้นแรกเป็นบทกวีเรื่อง "สายฝน" ได้ตีพิมพ์
และต่อมาเรื่องสั้นโดยคัดลายมือในปี 2525 ตีพิมพ์ในนิตยสารได้ค่าเรื่อง
600 บาท ตอนนั้นผมไปเป็นลูกเรือประมงแล้วอยู่ อีกทั้ง
ความอยากเป็นนักเขียนจะเปลี่ยนจุดหมายมาเรื่อยๆ
เหมือนเห็นแม่น้ำแล้วเราอยากเห็นทะเล นักเขียนก็เหมือนกันมีเป้าหมายเรื่อยๆ
ครั้งแรกผมเขียนหนังสือด้วยลายมือส่งไปนิตยสารโดยไปประกวด
ผมได้รางวัลที่ 3
ได้เช็คมา 8,000 บาทโดยไปซื้อเครื่องพิมพ์ดีดมานั่งพิมพ์
ทำให้ผมมีเงินเก็บทั้งชีวิตในดูว่ามีเงิน 9,000 บาทอยู่ได้ 2
– 3 เดือน ทำให้ผมก็บอกตัวเองว่าเมื่ออยากเป็นนักเขียนอาชีพ
วันเดียวก็คุ้มค่าแล้ว หรือ 7 วันก็คุ้มค่าแล้ว
ผมจึงลาออกงานที่ทำทั้งที่ไม่มีชื่อเสียง มีแต่งานตีพิมพ์เล็กน้อย โดยผมได้ติดป้ายติดข้างฝาผนังไว้ว่า
"ถ้าเราเขียนหนังสือดี เราจะมีชีวิตที่ดี ถ้าเราเขียนหนังสือไม่ดี
ชีวิตก็จะลำบาก ถ้าเราเขียนหนังสือไม่ได้ เราก็จะไม่มีชีวิต"
เมื่อตื่นเช้า
ผมจะนำเรื่องที่เคยเขียนไว้มาทบทวน เพื่อเป็นแรงส่งให้เขียนงานต่อไป โดยเฉพาะช่วงนั้น
ผมได้ส่งงานเรื่องสั้นไปตีพิมพ์ทุกที่ที่มีเวทีให้ ไม่ว่านิตยสารรายเดือน
รายสัปดาห์ก็ตาม กระทั่งเงินทุนที่มี 9,000 บาทได้กลายเป็น 30,000
บาท จากที่ตั้งเป้าไว้ 2
เดือน เป็นจนทุกวันนี้ผมไม่กลับไปทำงานประจำอีกแล้ว
ผมจึงออกจากงานประจำเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2537
สำหรับกระบวนการทำงานตอนแรกไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน
บางเรื่องเขียนไปหาจุดจบไม่ได้ แต่มันก็มีเรื่องอยากให้เขียนเรื่อยๆ นักเขียนต้องเป็นนักคิดตลอดเวลา
ผมได้ประเด็นมาก่อนจะนำเสนอ จากประเด็นตัวละครที่จะนำประเด็นสู่จุดหมาย โครงเรื่อง
และฉากมารองรับกับประเด็นที่เราจะนำเสนอ
ผมจะคิดภาพตลอดเวลาไปเจอสถานการณ์ที่เกิดเป็นข่าวหรือไม่เป็นข่าว
โดยเราจะสื่อสารให้คนอื่นมาถกกับเราได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นข่าวอาชญากรรม
หรือเราเดินทางไปพบ เราจะเขียนเป็นเรื่องสั้นอย่างไร
บางครั้งได้โครงเรื่องก็ยังไม่เขียน แต่จะเก็บเป็นคลังข้อมูลสำรองในสมอง ถ้าเรื่องไหนถูกลืมก็แสดงว่าไม่มีพลัง
เรื่องไหนหลอกหลอนยังคิดอยู่ เราก็จะเขียนกับมันได้ ซึ่งผมจะไม่มีสมุดบันทึกเพราะใช้จำอย่างเดียว
เรื่องไหนอยู่ก็คืออยู่ ในเรื่องไม่อยู่ก็ปล่อยไป
นักเขียนก็มีเคล็ดลับใช้มาแต่รุ่นพี่รุ่นน้อง
คือการลงมือเขียน ถ้าไม่ก้าวเท้าก้าวแรกอย่าคิดถึงหมื่นลี้
ถ้าไม่ลงมือทำอย่ามุ่งหวังถึงความสำเร็จ โดยต้องลงมือเขียน
ต้องถามว่างานเขียนเป็นสิ่งที่เรารักหรือไม่ด้วย ดังนั้น งานเขียนคือการถ่ายทอดจิตวิญญาณตัวละคร เพราะนอกจากอ่านหนังสือแล้วเราต้องอ่านคน
อ่านสถานการณ์บ้านเมือง ซึ่งนักข่าวมีพร้อมข้อมูลใกล้ชิดข้อมูล
มัคคุเทศก์แห่งข่าวสาร จึงมีการแตกประเด็นมากมาย
ทั้งนี้ เรื่องสั้นต่างงานข่าว เพราะงานข่าวเสนอข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ
แต่เรื่องสั้นหรือวรรณกรรมจะลึกลงไปกว่าข้อเท็จจริง
แต่เป็นการเสนอแก่นความจริงที่มีพลังซึ่งซ่อนอยู่ในเหตุการณ์ต่างๆ
ซึ่งนักเขียนจะล้วงลึกไปกว่านั้น
และนักเขียนจะเล่าเรื่องมากกว่ามุมมองของนักข่าวมากกว่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ โดยแปรเปลี่ยนข้อมูลมาสู่แก่นความจริงที่ลงลึก
อย่างไรก็ตาม
การเขียนเรื่องสั้นบางเรื่อง ในหลายเรื่องผมเขียนจบแล้วก็มีการแก้ไขอีกครั้งแทนที่จะเปิดเรื่องแบบนั้นผมก็เอาตอนใกล้จบมาเปิดเรื่องก็น่าสนใจ
โดยสามารถใช้ได้ในนวนิยายได้เหมือนกัน เพราะอ่านไปแล้วไม่ติดตามไม่สามารถนำพาผู้อ่านไปสู่ตอนที่สองและสามได้
แต่ผมก็มองหาว่าตอนไหนสามารถเปิดเรื่องได้ บางครั้งก็หยิบตอนที่เจ็ดมาเปิดเรื่อง
แล้วย้อนกลับไปสู่ตอนแรก ดังนั้น
หากเราลงมือทำและเขียนแล้วเราก็จะรู้ว่าควรปรับปรุงอย่างไร ยิ่งทำยิ่งเก่ง หากทุกคนอยากเขียนหนังสือเก่งมีทางเดียวคือฝึกฝนฝึกทำและฝึกคิด
ตอนแรกเขียนเรื่องสั้นลงตีพิมพ์โดยเป็นหนังสือเล่มแรกคือรวมเรื่องสั้น
"ลูกแก้วสำรอง"
ผมเข้าร้านหนังสือทุกวัน โดยไปนับเล่มบนชั้น ซึ่งวันหลังได้ไปดูอีกก็ยังเหลือ 5 เล่มเท่าเดิม
เมื่อขายไม่ได้สักเล่ม ก็น้อยใจ
และเจ็บปวด เหมือนโลกไม่ขานรับเราเลย
แต่ก็มักปลอบใจตัวเองว่าเล่มนี้คนไม่รู้จักเรา
แต่เล่มหน้าคนก็ต้องรู้จักเรามากขึ้นก็ต้องขายได้
เมื่อเปรียบเทียบเห็นเพื่อนๆนักเขียนขายดีวางอยู่ข้างหน้า
แต่หนังสือของผมวางข้างหลัง และวางที่ไม่สามารถมองในระดับสายตาเห็นได้
โดยซุกอยู่ในจุดที่ค้นเจอได้ยาก
แต่ของเราแค่พิมพ์ 3,000 เล่มก็ยังไม่หมดเลย
อย่างไรก็ตาม นักเขียนเป็นมนุษย์มีท้อมีอารมณ์รู้สึก ถ้าไม่มีอารมณ์และความรู้สึก
ไม่มีความเป็นศิลปินก็จะไม่สามารถสร้างงานได้ แต่นักเขียนถึงแม้จะอ่อนแอบางครั้ง
แต่จะเข้มแข็งที่สุดในวินาทีต้องการ
ผมปลอบใจตัวเองว่าได้พิมพ์เป็นเล่มแล้วหนังสือมีคนอ่านพอสมควร
แต่ประเทศชาติให้เราเพียงแค่นี้ เราก็ยืดอกได้แค่นี้
เมื่อครั้งผมไปจ.ขอนแก่น
ไปขึ้นเวทีเดียวกับ "ปราบดา หยุ่น"
ซึ่งมีนายภิญโญ
ไตรสุริยธรรมา ดำเนินรายการ ซึ่งก่อนขึ้นเวทีปราบดา หยุ่น
ถูกนักเรียนรุมขอลายเซ็นต์ แต่ผมนั่งอยู่ข้างนายภิญโญ นายภิญโญบอกกับผมว่าเขาเป็นดาราไปแล้วขอให้ทำใจ
แล้วผมจะขึ้นไปบนเวทีใครจะมองเห็น ผมจึงบอกว่าขอขึ้นเวทีไปนั่งเฉยๆ เมื่อผมมาดูหนังสือตอนหลังที่ขายดี
เพราะคนอ่านได้รับความสนใจจึงตอบแทนคนเขียน เป็นสิ่งที่คนอื่นประสบความสำเร็จ
การประสบความสำเร็จในการเขียนหนังสือคือการทำได้ตามเป้าหมาย
เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งคิดได้ดีมากว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้ยิ่งใหญ่มาก
แต่เมื่อลงมือเขียนแล้ว
พอลงมือเขียนแล้วทำได้ไม่เท่าที่คิดถือว่าล้มเหลวกับการเขียน
แต่มีหลายครั้งที่เราคิดธรรมดา แต่เขียนออกมาดีมากกว่าที่เราคิดไว้หลายเท่า ซึ่งเหมือนได้รางวัลที่ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม
นิยายบางเรื่องอยู่กับเรานานมากเป็นปี เป็นช่วงเวลาคิดมาบ่มเพาะในใจนาน
เมื่อเขียนจบเขียนไว้อ่านแล้วแก้ไข ไม่อยากให้งานเขียนมาปรากฎสายตาคนอื่น
แต่ถ้าเรื่องไหนเร็วมากเขียนสนุกแค่ 3 เดือนก็จบแล้ว ผมก็ถามว่าทำไมดีกว่าที่คิด
เพราะยิ่งแก้ไขยิ่งดี นั่นคือ นิยามการประสบความสำเร็จในการทำงานของผม
สำหรับข้อคิดส่งท้ายที่จะให้กำลังใจต่อนักเขียน
คือ เราต้องทำงานเขียนด้วยความพึงพอใจเหมือนมีสวนหย่อมข้างบ้าน
ซึ่งตอนผมลาออกจากงาน ก็ได้ตั้งกฎเกณฑ์ว่าทำอย่างไรที่จะเขียนโดยตื่นขึ้นมาทำงาน
สร้างทีเด็ดให้งานเขียน โดยเรียนรู้จากคนอื่นอ่านสิ่งที่คนอื่นทำ ตื่นขึ้นมาทำงาน
โดยให้ทุกเช้าเป็นวันทำงานของเรา เตรียมข้อมูลในใจให้เรียบร้อย
เพราะจินตนาการคือความสำเร็จ หากไม่มีเป้าหมายสำเร็จข้างหน้า
เราก็ไม่อยากก้าวไปข้างหน้า หรือไปไหนมาไหนอาจมีคนมาขอลายเซนต์หรือสัมภาษณ์
จินตนาการความสำเร็จไม่พอ
ดังนั้น
ต้องสร้างทีเด็ดให้งานเขียน
และเรื่องที่อยู่ในความทรงจำคือเรื่องที่มีทีเด็ดด้านใช้ภาษา การนำเสนอ
ประเด็นแหลมคม เรื่องน่าสนใจ อยู่ในใจคนอ่าน ขยันให้เป็นเรื่องปกติ
เพราะการฝึกตัวเองเป็นการทำให้ทุกอย่างปกติ
ซึ่งผมตื่นมาเขียนหนังสือเป็นปกติไม่ได้ขยัน แต่เป็นเรื่องปกติของชีวิต
อย่างไรก็ตาม
หนังสือเล่มหนึ่งมีคนบอกว่า มันอาจอายุยืนยาวกว่าคนเขียน ถ้ามันเป็นหนังสือที่ดี
แต่หนังสือหลายเล่มก็อายุสั้นกว่าคนเขียนถ้าไม่ใช่หนังสือที่ดี ทั้งนี้
หากเราเปิดหนังสืออ่านก็ทำให้เราสนใจในโลกหนังสือได้
การเขียนหนังสือเขาบอกว่านักการเมืองทุจริตหรือโกงตัวเอง
ได้ แต่นักเขียนโกงต่อตัวเองไม่ได้ในการสร้างงาน
ไม่ว่างานแบบไหนที่ทำแล้วเรามีความสุข
ส่วนงานอะไรขายได้ตามกระแสก็แค่อยู่ได้ตามระยะเวลาแม้อาจได้อะไรไปแต่ไม่กี่ปีก็อาจหายไปจากวงการหนังสือได้
และทุกวันนี้นักเขียนเหล่านั้นก็หายไปหมดแล้ว
รวมทั้งคนอ่านก็อาจลืมด้วยซ้ำว่าคนเหล่านี้ยังเป็นนักเขียนอยู่
นอกจากนี้ หลักของการตลาดคือการขาย แต่ศิลปินมี 2ประเภท
เพราะเคยมีนักดนตรี2 คนในวงเดอะบีทเทิลที่บอกว่าแตกต่างกันทางด้านการตลาด
โดย "พอล แมทคาร์นี่" บอกว่าจะสร้างเพลงอย่างตลาดต้องการ แต่ "จอห์น เลนนอน"
บอกว่าไม่ใช่ตลาดยั่งยืน
เพราะไปอาศัยตลาดของคนอื่น
ถ้าเราแน่จริงต้องสร้างตลาดให้เป็นงานของเราโดยตรง งานเขียนก็เหมือนกันเพราะผมมีผลงาน
20 กว่าเล่ม มีเพียง 5-6 ปกเท่านั้นที่ยอมพิมพ์เกินหนึ่งหมื่นเล่ม
เพราะตลาดของเราแค่นี้จึงต้องเติบโตด้วยตลาดของเราไม่ต้องอาศัยตลาดของคนอื่น
ถ้าอาศัยของคนอื่นก็คงเป็นได้แค่เรื่องลับ ลวง พราง หรือหมอดู เป็นต้น
ดังนั้นต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง สร้างตลาดงานเขียนของตนเองให้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น